Phonics ฉบับลงลึก: สอนลูกอ่านภาษาอังกฤษ

หลักการการสอนภาษาอังกฤษให้เด็กอ่านออกเขียนได้ ด้วย Phonics การสอนที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างเสียงและตัวอักษร หรือกลุ่มตัวอักษร โดยเน้นการใช้สื่อการสอนตัวอักษรที่มีเสียง กระตุ้นให้เด็กเข้าใช้คำศัพท์ภาษาอังกฤษอย่างลึกซึ้งได้ด้วยตัวเอง แม้ว่าจะเป็นคำศัพท์ใหม่ๆ ก็ตาม

หลักการนี้จะไม่เหมือนกับการให้เด็กท่องจำคำศัพท์เป็นคำๆ แต่เป็นการผสมผสานให้เข้าใจความหมายของคำศัพท์อย่างลึกซึ้งและสามารถนำมาประยุกต์ใช้ได้ในบทสนทนา

ข้อดีของการสอนลูกอ่านภาษาอังกฤษด้วยหลักการ Phonics

  • ช่วยให้เข้าใจหลักการพื้นฐานของการอ่านภาษาอังกฤษ สามารถอ่านคำศัพท์ใหม่ได้ด้วยการเลียนเสียงภาษาจากสื่อคำศัพท์เสียง
  • เด็กๆ สามารถสะกดคำได้อย่างถูกต้อง อย่างเข้าใจความสัมพันธ์ของคำศัพท์ การเชื่อมโยงประโยค
  • เข้าใจความหมายของคำศัพท์ได้อย่างรวดเร็ว แม้เป็นคำศัพท์ใหม่ที่ไม่คุ้นเคยก็ตาม
  • เด็กอ่านออก เขียนได้ อย่างมั่นใจ และมีพัฒนาการอย่างก้าวหน้าในด้านการสื่อสารสองภาษา
  • ไม่ใช้การคาดเดาจากรูปภาพที่เห็น แต่เข้าใจได้โดยบริบท สถานการณ์ต่างๆ และใช้อย่างเหมาะสม

ประเภทของ Phonics(รู้จักและเข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้ง)

Phonics
  1. Synthetic Phonics : การแยกแยะเสียง
  2. Analytic Phonics : การวิเคราะห์เสียง

Synthetic Phonics : การแยกแยะเสียง

ฝึกหัดออกเสียงอย่างเข้าใจ เทคนิคที่การฝึกฝนเหมาะกับเด็กเล็ก 

วิธีการสอนที่ได้รับความนิยมและเกิดประสิทธิภาพสูงในการฝึกทักษะภาษาอังกฤษ ด้วยการเน้นเสียงของตัวอักษรแต่ละตัวอย่างเป็นระบบเพื่อให้เด็กๆ นำเสียงเหล่านั้นมาผสมผสานเป็นคำได้ เช่น 

  • การออกเสียงตัว C (เคอะ)
  • การออกเสียงตัว A (แอ๊ะ)
  • การออกเสียงตัว T (เทอะ)

เมื่อนำมาผสมเสนียง = เคอะ+แอ๊ะ+เทอะ = CAT แปลว่า แมว

Analytic Phonics : การวิเคราะห์เสียงที่อยู่ใกล้ตัว

โดยฝึกให้เด็กๆ เข้าใจเสียงเป็นคำ เช่น

CAT ให้เด็กๆ สังเกตว่ามีตัวอักษรอะไรผสมอยู่ เช่น C (เคอะ) A (แอ๊ะ) T (เทอะ) โดยเด็กๆ จะเห็นภาพด้วยจินตนาการที่ได้รับการฝึกหัดมาในการปูพื้นฐานแต่วัยเด็ก ทำให้เข้าใจความหมายอย่างลึกซึ้งขึ้นเมื่อตัวอักษรถูกนำมาผสมผสานกัน

การปั้นลูกให้เก่งสองภาษาตั้งแต่วัยเด็กด้วยเทคนิคเหล่านี้ ช่วยสร้างรากฐานภาษาอังกฤษทั้งความเข้าใจความหมายของคำศัพท์และประยุกต์ใช้ในการสร้างประโยค การออกเสียงอย่างถูกต้อง

ขั้นตอนการสอน Phonics

Phonics
  1. เริ่มต้นจากตัวอักษรเดี่ยว เน้นเสนียง ไม่ใช่ชื่อตัวอักสอน เช่น A (แอ๊ะ ไม่ใช่ เอ) เบื้องต้นให้ฝึกเพียง 2-3 เสียงแรก ร่วมกับการใช้บัตรคำศัพท์ (Flashcard) กระตุ้นให้พวกเขาจดจำได้ดียิ่งขึ้นและเชื่อมโยงเสียงอื่นๆ กับสิ่งของที่เขาคุ้นเคย
  2. เมื่อเด็กๆ สามารถจำเสียงตัวอักษรเดี่ยวได้แล้ว ผู้ปกครองสามารถสอนการผสมเสียงเข้าด้วยกันในการสร้างคำศัพท์ง่ายๆ ที่มีตัวอักษร 3 ตัว เช่น Dog, Sun, Pig, Run อย่าลืมเพิ่มความสนุกสนานด้วยกิจกรรมต่างๆ กระตุ้นการเรียนรู้เพิ่มเติม
  3. ฝึกการแยกเสียงด้วยการให้เด็กออกเสียงตามโดยใช้สื่อบัตรคำศัพท์และอาจมีการปรบมือ หรือ ชี้ไปยังภาพ เมื่อเด็กออกเสียงได้ ก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะเริ่มต้นหัดเขียนตัวอักษรที่ตรงกับเสียงนั้นๆ 
  4. เมื่อเด็กๆ คุ้นเคยกับตัวอักษรเดี่ยวแล้ว ผู้ปกครองสามารถเพิ่มความซับซ้อนได้ด้วยการใช้ตัวอักษรสองหรือสามตัวรวมกัน แล้วยังออกเสียงตัวอักษรให้ชัดเจน เช่น bl (บลี) ในคำศัพท์ blue / fr (ฟรี) ในคำศัพท์ frog เป็นต้น
  5. หลังจากคุ้นเคยกับตัวอักษรหลากหลายและการผสมตัวอักษร ได้เวลาเรียนรู้จักสระ เช่น ai (เอ) ในคำศัพท์ rain / ea (อี) ในคำศัพท์ bread / ow (โอ) ในคำศัพท์ cow และค่อยๆ เพิ่มระดับความซับซ้อนขึ้นไปในรากฐานคำศัพท์ใหม่ๆ 
  6. อย่าลืมแนะนำตัวอักษรที่ไม่ออกเสียงในคำ เช่น k ใน know หรือ b ใน thumb ส่วนนี้จะช่วยให้เด็กๆ เข้าใจได้อย่างรวดเร็ว

เทคนิคนี้เพิ่มระดับความยากของการฝึกฝนขึ้นมาอีกหนึ่งระดับ โดยหากผู้ปกครองยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มต้นปั้นลูกให้เก่งสองภาษาด้วยวิธีนี้ยังไง หลักสูตร “ปั้นลูกให้เก่งสองภาษา โดยครูญาญ่า” หลักสูตรออนไลน์ที่จะช่วยให้ผู้ปกครองฝึกฝนเด็กๆ ได้อย่างเต็มรูปแบบและเห็นพัฒนาการด้านภาษาได้อย่างรวดเร็ว