4 ความเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงลูก Bilingual

bilingual ปั้นลูกให้เก่งสองภาษา

การฝึกฝน เติมทักษะด้านการสื่อสารภาษาที่สองให้เด็กๆ แม้จะเป็นพื้นฐานที่ดีสำหรับอนาคต การฝึกฝนที่ต้องใช้เวลา วินัยความสม่ำเสมอ การปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อม ซึ่งหากผู้ปกครองใช้เวลาและไม่กดดันเด็กๆ มากเกินไปก็จะทำให้พวกเขาเป็นเด็กที่เก่งได้

ดังนั้น การเลี้ยงลูกสองภาษา ยังเกิดความเข้าใจผิดที่ทำให้เด็กเกิดการต่อต้านและปฏิเสธการเรียนรู้ได้ หากต้องการให้ลูกๆ ยอมรับและเรียนรู้อย่างสนุกสนาน

4 ความเข้าใจผิดเรื่องการเลี้ยงลูกสองภาษา

bilingual ปั้นลูกให้เก่งสองภาษา

1. เลี้ยงลูกสองภาษาจะทำได้เด็กพูดช้าและสับสน

ความเข้าใจผิด

ผู้ปกครองหลายท่านเกิดความกลัวว่า “เมื่อใช้ภาษาทั้งสองในการสื่อสาร เด็กต้องสลับการเรียนรู้ทำให้สับสน ไม่อยากพูด พูดช้าจนทำให้พัฒนาการในการพูด การสื่อสารไม่ตามวัย ไม่เหมือนลูกๆ ในครอบครัวอื่น”

ความเป็นจริง

สมองของเด็กๆ มีความยืดหยุ่นในการเรียนรู้ภาษาได้อย่างน่าสนใจ งานวิจัยกล่าวว่า เด็กที่ใช้สองภาษาอาจจะมีการประมวลผลนานกว่าเด็กภาษาเดียว (เล็กน้อย) แต่จะค่อยๆ ประมวลผลเร็วขึ้นในสถานการณ์ต่างๆ และคล่องตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว

การฝึกภาษาที่สองไม่เพียงช่วยสนับสนุนทักษะการสื่อสารเท่านั้น แต่ยังช่วยกระตุ้นพัฒนาการทางสมองในส่วนอื่น เช่น

  • การคิดวิเคราะห์
  • การแก้ปัญหา
  • ความยืดหยุ่นทางความคิด

ดังนั้น การปั้นลูกให้เก่งสองภาษานั้นไม่ทำให้พวกเขาพูดได้ช้าและสับสน นั่นเอง

2. พ่อแม่ต้องเก่งภาษาอังกฤษ สื่อสารได้เหมือนเจ้าของภาษา

ความเข้าใจผิด

เพราะภาษาหลักของเรา คือ “ภาษาไทย” ทำให้การใช้ภาษาที่สองอย่าง ภาษาอังกฤษ ไม่คล่องตัวเหมือนเจ้าของภาษา การสร้างประโยค การโต้ตอบหรือแม้แต่คำศัพท์มากมายที่ผู้ใหญ่หลายคนอาจไม่คล่องตัว หรือสื่อสารได้ไม่เก่งเทียบเท่ากับเจ้าของภาษา ซึ่งสิ่งนี้ไม่ใช่ปัญหาในการอยากฝึกให้ลูกเก่งภาษาเลย 

ความเป็นจริง

แม้คุณจะไม่ได้เก่งภาษาอังกฤษ ก็สามารถเรียนรู้ไปพร้อมๆ กับการฝึกฝนลูกๆ ได้ด้วยสื่อการสอนมากมาย เช่น นิทาน เพลง การ์ตูน แอปพลิเคชันต่างๆ การได้ใช้กับลูกๆ ทุกวันสม่ำเสมอ ก็จะช่วยให้คุณเก่งไปพร้อมๆ กับพวกเขา และพวกเขายังเห็นคุณเป็นต้นแบบในความพยายามและสนุกที่จะเรียนรู้ ฝึกฝนไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย

สิ่งสำคัญที่สุดในการปั้นลูกให้เก่งสองภาษา นั่นก็คือ
“ความสม่ำเสมอ” และ “ทัศนคติเชิงบวก” ต่อการใช้ภาษา

3. ฝึกหลายภาษา โตไปแล้วจะปรับตัวยาก ไม่เปิดรับและต่อต้านทำให้กลายเป็นเด็กไม่เก่ง

ความเข้าใจผิด

“ช่วงเวลาการเรียนรู้ภาษาของเด็ก อยู่ในช่วงปฐมวัย” สิ่งนี้จึงทำให้พ่อแม่ ผู้ปกครองที่เพิ่งจะเริ่มต้น รู้สึกและกังวลว่า การเริ่มต้นสอนแต่เล็กจะได้เปรียบกว่าทั้งด้านสำเนียง ความจำ และการสื่อสาร

ความเป็นจริง

เด็กโต หรือเด็กในช่วงปฐมวัย ก็มีข้อได้เปรียบในการเริ่มฝึกฝน เช่น

  • แรงจูงใจในการเรียนรู้มากกว่า
  • ความเข้าใจหลักการของภาษาหลัก หรือภาษาแม่ มีมากกว่า
  • ทักษะการเรียนรู้เป็นระบบมากกว่า

ดังนั้น เริ่มต้นฝึกลูกด้วยภาษาที่สอง จึงไม่มีคำว่า “สายเกินไป” แม้วัยจะเป็นส่วนประกอบหนึ่งในการเริ่มต้น เริ่มต้นวัยก็เรียนรู้ได้เร็วขึ้นแต่ไม่ได้หมายความ เรียนรู้ในวัยโตจะสายเกินไป เพียงแต่ การฝึกฝนจำเป็นต้องปรับวิธีการสอนให้เหมาะสมตามพัฒนาการนั่นเอง

4. ลูกจะพูดไทยคำ อังกฤษคำ พูดไม่ชัดสักภาษา

ความเข้าใจผิด

เด็กสองภาษาจะพูดผสมคำศัพท์ไทยคำ อังกฤษคำ ฟังแล้วปวดหัว สื่อสารกับคนภายนอกได้ยาก

ความเป็นจริง

เด็กสองภาษา พูดผสมกัน (Code-Switching) ถือเป็นเรื่องปกติที่พบได้ การที่ผสมคำศัพท์นั้นไม่ได้หมายควาว่า พวกเขาจะบกพร่องในการสื่อสารภาษาใดภาษาหนึ่ง ตรงกันข้าม จะเป็นการส่งเสริมความจำคำศัพท์ของแต่ละภาษา และจะสามารถดึงคำศัพท์เหล่านั้นมาใช้ในสถานการณ์ที่แตกต่างเมื่อใช้ในชีวิตประจำวันและเลือกใช้อย่างคล่องตัวให้เหมาะกับคู่สนทนานั่นเอง

การเลี้ยงลูกน้อยให้เติบโตด้วยการปูพื้นฐานด้านภาษา มีประโยชน์มากมาย ทั้งการพัฒนาสมอง เปิดประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มโอกาสให้พวกเขาในอนาคต ดังนั้น อย่าให้ความเข้าใจผิดเหล่านี้ ปิดกั้นความตั้งใจของคุณ เริ่มต้นการฝึกฝนได้ทันทีเมื่อคุณอยากให้พวกเขาเป็นเด็กที่มีทักษะรอบด้าน ปรับสิ่งแวดล้อมและสนับสนุน ให้เวลา ให้ความรักและความอดทนในการเรียนรู้ เพียงเท่านี้ก็เป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จ ที่จะปั้นลูกให้เก่งสองภาษา

ปั้นลูกให้เก่งสองภาษา
คู่มือสอนลูกน้อยให้เก่งสองภาษาอย่างมีประสิทธิภาพ