10 ข้อควรรู้ จิตวิทยาการเลี้ยงลูก
การสร้างพัฒนาการให้ลูกเติบโตไปอย่างมีความสุข ได้เรียนรู้ประสบการณ์และทักษะในด้านต่างๆ เตรียมพร้อมสำหรับอนาคต หากเราป้อนข้อมูล การอบรมสั่งสอนมากเกินไป ก็ทำให้เด็กรู้สึกกดดันและส่งผลกระทบต่อความรู้สึก และจิตใจของลูกน้อยได้มาก ไม่เพียงเท่านั้น การโต้แย้งหรือปฏิเสธความรัก ความหวังดีจากผู้ปกครอง อาจกลายเป็นสิ่งที่ไม่ช่วยเสริมสร้างพัฒนาการแต่กลับทำให้เด็กหมดความมั่นใจ เกิดความวิตกกังวลและไม่กล้าแสดงออก และต่อต้านสิ่งต่างๆ จากผู้ปกครองได้เช่นกัน
การเลี้ยงลูกในยุคปัจจุบันนอกจากต้องคำนึงถึงความสุขของผู้ปกครอง เลี้ยงลูกยังไงให้แม่มีความสุขแล้ว ยังจำเป็นต้องคำนึงถึงความสุขของลูก พร้อมกับทักษะด้านต่างๆ ที่ลูกควรจะได้รับในแต่ละวัย
จิตวิทยาการเลี้ยงลูกให้พร้อมเติบโตในอนาคต
10 ข้อควรรู้ จิตวิทยาการเลี้ยงลูก ให้มีร่างกายแข็งแรง เสริมสร้างพัฒนาการ ทักษะด้านการเรียนรู้ การคิด แก้ปัญหา คุมอารมณ์อย่างสมบูรณ์
1. ทำตัวอย่างให้เด็กๆ เห็นต้นแบบของพฤติกรรม
เราแสดงออกอย่างไร ทั้งการพูด การลงมือทำ เด็กๆ จะมองเห็นและซึบซับพฤติกรรมของเราไปเอง ดังนั้น หากเราแสดงให้เห็นถึงพฤติกรรมการทานอาหารแล้วนำไปเก็บ ไปล้างทำความสะอาด เขาก็จะเรียนรู้ว่า หลังจากที่ทานอาหารเสร็จนั้นต้องทำความสะอาด ล้างจาน
2. ผู้ปกครอง ควรมีคำแนะนำแนวทางการสอนไปในทิศทางเดียวกัน
หรือหากต่างกัน ควรเป็นในเรื่องของภาษาที่ใช้ เช่น คุณพ่อ อาจใช้ภาษาไทยในการพูดกับเด็กๆ คุณแม่เป็นผู้สนทนาภาษาอังกฤษกับเด็ก เด็กจะจดจำและเรียนรู้ไปในทิศทางเดียวกัน พร้อมยกระดับการสนทนาได้ทั้ง 2 ภาษา จากความเข้าใจที่ได้จดจำจากการใช้ชีวิตประจำวันของครอบครัว เช่น ในทุกวันที่ลูกตื่นนอนมา คุณแม่ทักทายลูกเป็นภาษาอังกฤษ “morning kiss” (แล้วหอมแก้ม) เมื่อเด็กๆ เจอคุณพ่อในเช้าวันใหม่ คุณพ่อจะกอดหอมเด็กๆ แล้วทักทาย “เช้านี้สดใสจัง” เป็นต้น สิ่งเหล่านี้จะทำให้พวกเขาจำได้ว่า
- morning คือ ตอนเช้า หรือ เช้าวันใหม่
- พฤติกรรมการแสดงความรัก ด้วยการกอด หอมแก้ม
- ความอบอุ่นที่ได้รับจากสัมผัสของพ่อและแม่
3. ชมเชยเด็กๆ เมื่อพวกเขาได้พยายามทำอะไรบางอย่าง
เช่น พยายามจับช้อนส้อม ในการรับประทานอาหาร หรือ พยายามใส่รองเท้าด้วยตัวเอง การที่ชมเชยในสิ่งเล็กๆ น้อยๆ เหล่านี้ จะกลายเป็นพลังอันยิ่งใหญ่ ส่งเสริมให้เขาพยายามทำอะไรด้วยตัวเอง สามารถช่วยเหลือตัวเองได้ในการใช้ชีวิตประจำวัน และนอกจากนี้ยังช่วยให้พวกเขากล้าที่จะตัดสินใจ คำชมเชยเหล่านี้ ในบ้านที่ต้องการสอนลูกให้เก่งสองภาษา ก็สามารถใช้ภาษาอังกฤษในการชมเชยได้ เช่น
“I’m so pround of you” (แม่ภูมิใจจัง) หรือ
“I know you can do it” (แม่กะแล้วเชียวว่าลูกต้องทำได้)
4. มีกฎระหว่างกัน
เช่น เงื่อนไขชั่วโมงในการเล่น การเข้านอน การแปรงฟัน รวมทั้ง ชั่วโมงการเรียนรู้ทักษะต่างๆ การแบ่งเวลาและเงื่อนไขในการใช้ชีวิตประจำวัน เป็นการเสริมสร้างทักษะ วินัย และความรับผิดชอบของเด็กๆ อย่าลืมว่า เด็กต้องการการเรียนรู้ดังนั้น การจัดสรรตารางเวลาและเงื่อนไขต่างๆ จะช่วยให้ผู้ปกครอง เลี้ยงลูกได้อย่างไม่เหนื่อยมากเกินไป และยังส่งเสริมให้พวกเขามีระเบียบวินัยด้วยนะ
5. ไม่ควรปลอบประโลมลูกมากไปนัก
เช่น เวลาที่เขาเล่นและล้มลง อย่าพยายามเข้าไปช่วยเหลือมากนัก ลองปล่อยให้พวกเขาค่อยๆ ยืนขึ้นมาเอง แล้วชมเขาเมื่อเขาสามารถยืนขึ้นได้ หรือไม่ร้องไห้ เมื่อพวกเขาทำได้เช่นนั้นแล้ว ผู้ปกครองจึงค่อยๆ อธิบายว่า เพราะอะไรพวกเขาจึงล้มลง และครั้งหน้าหากเขาล้มอีก ก็สามารถลุกขึ้นมาแล้วเล่นต่อไปได้
6. ปล่อยให้พวกเขาได้ลองผิดลองถูก
เช่น การรับประทานอาหาร ลองจัดวาง ช้อน ส้อม และตะเกียบสำหรับเด็กดู ให้พวกเขาได้ลองใช้อุปกรณ์เหล่านี้หยิบจับอาหารเข้าปาก ในระหว่างนั้น ผู้ปกครองอาจแนะนำลูกว่า อุปกรณ์แต่ละชิ้นนั้นคืออะไร โดยใช้ภาษาอังกฤษและภาษาไทยควบคู่กัน เมื่อเด็กหยิบอุปกรณ์ชิ้นไหนขึ้นมา ผู้ปกครองก็สามารถพูดคำศัพท์ซ้ำได้ เช่น
nice, that’s fork (โอ้.. เก่งมากค่ะ นั่นคือส้อม) หรือ spoon (ช้อน) หรือ chopsticks (ตะเกียบ)
การใช้อารมณ์ร่วมให้เด็กๆ รู้สึกตื่นเต้นกับสิ่งที่เขาทำนั้น เป็นการเพิ่มปฏิกิริยาในการเรียนรู้ให้พวกเขามีความสนุกและจดจำในสิ่งนั้นๆ เพิ่มเติม
7. พาพวกเขาไปวิ่งออกกำลังกาย
อาจเป็นสถานที่เล็กๆ เช่น หน้าบ้าน ในหมู่บ้าน สวนสาธารณะ แล้วแนะนำ สิ่งต่างๆ รอบตัวที่พวกเขาได้เห็นว่าคืออะไร เช่น
- The puppy (ลูกสุนัข) dog (สุนัข) is so cute. : หมาตัวนั้นน่ารักจังเลย
- The trash can หรือ rubbish bin (ถังขยะ) is over there. : ถังขยะอยู่ตรงโน้น
8. เมื่อเด็กๆ หยิบของมาให้ เรากล่าวคำขอบคุณแก่พวกเขา
ให้พวกเขาได้เรียนรู้ถึงการมีน้ำใจต่อผู้อื่น
Thank you, my boy. (ขอบใจนะลูกชาย) ต่อท้ายด้วยคำศัพท์ภาษาอังกฤษสิ่งของที่ลูกหยิบมาให้
9. การทานอาหารพร้อมกันกับคนในครอบครัว
เป็นการบ่มเพาะความสุขและเสริมสร้างพัฒนาการทางอารมณ์ ให้เด็กๆ เห็นความสำคัญของคนในครอบครัว กรณีนี้ หากผู้ปกครองต้องทำงานนอกบ้าน อาจใช้เป็นมื้ออาหารเย็น เพียงวันละ 1 มื้อ ก็ช่วยเสริมสร้างได้แล้ว
10. ไม่ควรสอนด้วยการเปรียบเทียบ
เช่น เมื่อลูกล้มลง ก็ไม่ควรบอกว่า เห็นไหม น้องคนนั้นไม่ร้องเลย หรือ น้อง… (ลูกข้างบ้าน) ไม่งอแงเลย ทานข้าวเองได้ ลูกก็ต้องทำได้สิ การเปรยีลบเทียบจะทำให้เด็กเกิดความอิจฉา จิตใจอ่อนแอและคิดว่าตัวเองได้ความรักจากผู้ปกครองน้อยลง
การสอนเด็กในยุคปัจจุบันยังมีอีกหลายบทบาทที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องเรียนรู้ไปพร้อมกัน โดยเฉพาะครอบครัวยุคใหม่ที่ให้ความสำคัญกับการใช้ภาษา (สอนลูกสองภาษา) ที่หากป้อนข้อมูลมากเกินไป หรือจงใจสอนมากไป ลูกก็จะรู้สึกอึดอัดและต่อต้าน
ติดตามเรื่องราว เทคนิคดีๆ ในการสอนลูกให้เก่งภาษาอังกฤษและการสอนลูกให้เก่งสองภาษากับครูญาญ่า
- Line : Kru Yaya English
- FB : Kru Yaya สอนเทคนิคเลี้ยงลูก 2 ภาษา
- Tiktok : Kru Yaya สอนเลี้ยงลูก 2 ภาษา